
ผลกระทบของ “ภาษี Apple”: การวิเคราะห์เชิงลึกสำหรับนักพัฒนา ผู้บริโภค และผู้ลงโฆษณาในยุคดิจิทัล

เศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และหนึ่งในประเด็นที่กลายเป็นจุดสนใจระดับโลก คือ “ภาษี Apple” หรือค่าคอมมิชชั่นที่บริษัทแอปเปิ้ลเรียกเก็บจากนักพัฒนาแอปพลิเคชัน ซึ่งส่งผลต่อวงจรเศรษฐกิจของดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา ผู้บริโภค หรือแม้แต่ผู้ลงโฆษณาในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ความเข้มงวดในการควบคุมระบบนิเวศ iOS ทำให้ Apple มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมาก จนถูกตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในการเก็บค่าใช้จ่ายสูงถึง 30% จากการซื้อบริการดิจิทัลในแอป บทความนี้จะเจาะลึกทั้งที่มา ข้อโต้แย้ง ผลกระทบ และทางเลือกในอนาคต พร้อมแนวทางปฏิบัติที่ผู้เกี่ยวข้องสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
อะไรคือ “ภาษี Apple”? จุดเริ่มต้นจากกลไกการเก็บค่าธรรมเนียม App Store
คำว่า “ภาษี Apple” ไม่ใช่ภาษีตามกฎหมาย แต่เป็นคำเรียกขานที่ใช้เพื่ออธิบายค่าคอมมิชชั่นที่ Apple หักจากนักพัฒนาแอปใน App Store โดยเฉพาะสำหรับการซื้อภายในแอป (In-App Purchase) และการสมัครสมาชิก (Subscriptions) ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 15–30% ของยอดขาย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข
เมื่อ App Store เปิดตัวในปี 2008 Apple ได้กำหนดค่าคอมมิชชั่นไว้ที่ 30% โดยอ้างว่าค่าใช้จ่ายนี้ครอบคลุมต้นทุนในการรักษาความปลอดภัย การตรวจสอบเนื้อหา เทคโนโลยีการชำระเงิน โครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงเครื่องมือพัฒนา (SDK) และบริการสนับสนุนนักพัฒนา ทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ iOS เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม 隨著เวลาผ่านไป และเมื่อมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แอปต่าง ๆ สร้างใน App Store พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล นักพัฒนาจำนวนมาก—โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่เจ้าตลาดใหญ่—เริ่มมองว่าอัตรานี้สูงเกินไป และมีลักษณะเหมือนการผูกขาด ทำให้ Apple กลายเป็น “ผู้ตัดสิน” ที่ควบคุมทั้งทางการตลาดและช่องทางรายได้
เพื่อลดแรงกดดัน Apple ได้ออก “โปรแกรมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก” (App Store Small Business Program) ในปี 2021 โดยลดค่าคอมมิชชั่นเหลือ 15% สำหรับนักพัฒนาที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงลดเหลือ 15% สำหรับการต่ออายุสมาชิกหลังปีแรก แม้จะเป็นขั้นตอนบวก แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับหลาย ๆ ฝ่ายที่มองว่าโครงสร้างพื้นฐานของ App Store ควรมีความยืดหยุ่นและเปิดกว้างยิ่งกว่านี้
“ภาษี Apple” ท่ามกลางกระแสต่อต้านการผูกขาดและการท้าทายทางกฎหมายทั่วโลก

ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ Epic Games ผู้พัฒนาเกมดังอย่าง Fortnite ประกาศท้าทาย Apple โดยเพิ่มระบบชำระเงินภายนอกภายในแอปในปี 2020 เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าคอมมิชชั่น 30% ซึ่งทำให้ Apple ลบ Fortnite ออกจาก App Store ทันที
คดี Epic Games v. Apple กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอุตสาหกรรมดิจิทัล แม้ศาลชั้นต้นในสหรัฐฯ จะตัดสินว่า Apple ไม่ผิดในข้อหาผูกขาด แต่พบว่าบริษัทละเมิดกฎหมายการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของรัฐแคลิฟอร์เนียจากการห้ามผู้ใช้ถูกชี้นำไปยังช่องทางชำระเงินภายนอก (anti-steering policy) ผลสุดท้ายคือ Apple ต้องอนุญาตให้นักพัฒนาแจ้งผู้ใช้ถึงตัวเลือกการชำระเงินภายนอกได้
แม้ Apple จะยื่นอุทธรณ์และสุดท้ายศาลฎีกาสหรัฐปฏิเสธการรับคดีในเดือนมกราคม 2024 ทำให้คำตัดสินเดิมมีผลต่อเนื่อง การตัดสินดังกล่าวเปิดประตูให้แพลตฟอร์มอื่นมีพื้นที่ในการแข่งขัน และเป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ก็ไม่นิ่งนอนใจ Spotify เคยยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2019 เกี่ยวกับนโยบายของ Apple ที่ทำให้บริการสตรีมมิ่งเพลงมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่ Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Facebook และ Instagram ก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30% สำหรับการซื้อโฆษณาผ่านแอป iOS ซึ่งส่งผลกระทบต่อ SMBs ทั่วโลก
หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศเริ่มดำเนินการอย่างเข้มงวด:
– **สหภาพยุโรป (EU)**: ประกาศใช้ Digital Markets Act (DMA) ซึ่งกำหนดให้ Apple ต้องเปิดระบบนิเวศ iOS มากขึ้น โดยอนุญาตให้มีแอปสโตร์ทางเลือก สกุลเงินดิจิทัล และระบบชำระเงินภายนอกได้
– **เกาหลีใต้**: เป็นประเทศแรกที่ผ่านกฎหมายบังคับให้ Apple และ Google ต้องอนุญาตให้นักพัฒนาใช้ระบบชำระเงินของตนเอง Apple ยอมให้ทำได้ แต่ยังเก็บค่าคอมมิชชั่น 26% สำหรับธุรกรรมดังกล่าว
– **ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ**: มีการตรวจสอบและร่างกฎหมายที่คล้ายคลึงกัน โดยมุ่งเป้าไปที่การลดอำนาจของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงกดดันไม่ได้มาจากเพียงคดีเดียว แต่เกิดจากกระแสการเรียกร้องความยุติธรรมในระบบนิเวศดิจิทัลอย่างกว้างขวาง
ใครคือผู้แบกรับ “ภาษี Apple”? ผลกระทบต่อนักพัฒนาและผู้บริโภค
แม้ Apple จะมองว่าค่าคอมมิชชั่นนี้เป็น “ค่าบริการ” ที่ยุติธรรม แต่สำหรับนักพัฒนา โดยเฉพาะผู้ที่มีทรัพยากรจำกัด ค่า 15–30% ถือเป็นภาระทางการเงินที่หนักหน่วง และมีผลต่อทั้งกลยุทธ์ทางธุรกิจและนวัตกรรม
**ผลกระทบต่อนักพัฒนาแอป:**
– **ลดอัตรากำไรขั้นต้น**: ค่าคอมมิชชั่น 30% ทำให้กำไรที่เหลือจากการขายแอปหรือบริการดิจิทัลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะแอปที่พึ่งพารายได้จากการสมัครสมาชิกหรือซื้อในแอป
– **จำกัดการลงทุนในนวัตกรรม**: เมื่อต้นทุนสูง นักพัฒนาอาจลังเลที่จะทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่น แอปแบบจ่ายต่อครั้ง หรือบริการพรีเมียมที่ต้องใช้การอัปเดตบ่อย
– **ผลักภาระไปยังผู้บริโภค**: เพื่อรักษากำไร หลายเจ้าเลือกตั้งราคาขายภายในแอปให้สูงกว่าราคาที่ขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง เช่น สตรีมมิงเพลง หรือแอปเรียนออนไลน์ ที่มักมีราคานอกแอปถูกกว่า
**ผลกระทบต่อผู้บริโภค:**
– **ราคาสินค้าดิจิทัลแพงขึ้น**: เมื่อนักพัฒนาขึ้นราคาเพื่อชดเชยค่าคอมมิชชั่น ผู้ใช้ก็ต้องจ่ายมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว และไม่มีทางเลือกอื่นหากซื้อผ่าน App Store
– **ประสบการณ์การใช้งานที่ถูกจำกัด**: Apple จำกัดการแจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับช่องทางชำระเงินภายนอกอย่างเข้มงวด ทำให้ผู้บริโภคหลายคนไม่รู้ว่ามีตัวเลือกที่ถูกกว่า
– **ลดความหลากหลายของแอปพลิเคชัน**: นักพัฒนาขนาดเล็กอาจถอยตัวจาก App Store เมื่อเห็นว่าต้นทุนสูงเกินไป ส่งผลให้ผู้ใช้มีตัวเลือกน้อยลงในระยะยาว
สำหรับนักการตลาด: หลีกเลี่ยงค่า “ภาษี Apple” ในการลงโฆษณา FB/IG บน iOS App ได้อย่างไร?
หนึ่งในผลกระทบที่เพิ่งเกิดขึ้นและส่งผลต่อผู้ประกอบการโดยตรง คือการที่ Apple เริ่มเรียกเก็บค่าบริการ 30% ต่อธุรกรรมที่ซื้อโฆษณาบน Facebook และ Instagram ผ่านแอปพลิเคชัน iOS โดยมีผลตั้งแต่กรกฎาคม 2024 แม้ Meta จะเป็นฝ่ายเก็บเงินจากผู้ลงโฆษณา แต่ค่าธรรมเนียมนี้ถูกผลักภาระไปยังผู้ลงโฆษณาโดยตรง
ตัวอย่าง: หากคุณตั้งงบโฆษณาไว้ที่ 10,000 บาท และซื้อผ่านแอป Facebook บน iPhone คุณจะถูกหักเพิ่มอีก 30% หรือประมาณ 3,000 บาท รวมเป็น 13,000 บาท เพื่อให้ Meta ได้รับเงินเพียง 10,000 บาท
**แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายพิเศษนี้:**
– **ใช้เบราว์เซอร์แทนแอป**: ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือมือถือ ให้เข้าเว็บไซต์ facebook.com หรือ instagram.com โดยตรงผ่าน Safari หรือ Chrome เพื่อสร้างหรือ “Boost” โพสต์ โดยไม่ผ่านระบบชำระเงินของ Apple
– **ใช้ Meta Business Suite บนหน้าเว็บ**: เครื่องมือนี้รวบรวมฟีเจอร์การจัดการโฆษณา ธุรกิจ และเพจในที่เดียว และรองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตโดยไม่ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30%
– **ตั้งค่าโฆษณาผ่าน Meta Ads Manager**: หากต้องการใช้แคมเปญขั้นสูง เช่น การตั้งกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ หรือ A/B Testing ควรใช้ Meta Ads Manager บนเว็บ ซึ่งปลอดภัยจากค่าคอมมิชชั่นของ Apple
– **เติมเงินเข้าบัญชีล่วงหน้า**: วิธีนี้อาจดูยุ่งยาก แต่คุ้มค่า คือการชำระเงินล่วงหน้าผ่านเว็บเบราว์เซอร์ แล้วใช้ยอดเงินนี้ในบัญชีโฆษณาเพื่อสั่ง “Boost Post” ผ่านแอป iOS โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
กลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน 30% ทันที แต่ยังทำให้คุณสามารถบริหารงบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้จริง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่งบประมาณมีข้อจำกัด
เปรียบเทียบ “ภาษี Apple” และ “ภาษี Android”: โมเดลค่าคอมมิชชั่นของสองระบบนิเวศมือถือยักษ์ใหญ่
แม้ว่า Google Play Store จะมีนโยบายเก็บค่าคอมมิชชั่นคล้ายกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว อัตราและระดับความยืดหยุ่นของ Android มักเป็นที่นิยมมากกว่าสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการความเป็นอิสระ
**อัตราค่าคอมมิชชั่น:**
– **Apple**: 30% ทั่วไป, 15% สำหรับนักพัฒนาที่มีรายได้น้อยกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือหลังปีที่สองของสมาชิก
– **Google**: 15% สำหรับรายได้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐแรกต่อปี และ 30% สำหรับรายได้ที่เกินนั้น นอกจากนี้ยังให้อัตรา 15% สำหรับการต่ออายุสมาชิก
**ความเปิดกว้างของแพลตฟอร์ม:**
– **iOS**: จำกัดให้ใช้ App Store เป็นช่องทางหลัก ไม่อนุญาตให้ติดตั้งแอปจากภายนอก (sideloading) ยกเว้นในบางประเทศที่มีกฎหมายบังคับ (เช่น EU)
– **Android**: อนุญาตให้ติดตั้งแอปจากแหล่งอื่น (เช่น APK) และมีทางเลือกร้านค้าแอปหลายแห่ง เช่น Galaxy Store, Amazon Appstore ทำให้การแข่งขันสูงกว่า
**ระบบการชำระเงิน:**
– **Apple**: อนุญาตช่องทางภายนอกในบางประเทศเท่านั้น (เช่น เกาหลีใต้, EU) แต่ยังเก็บค่าคอมมิชชั่น 12–26% และมีข้อจำกัดด้าน UX เช่น ไม่ให้ใช้ปุ่ม “จ่ายผ่านเว็บเรา”
– **Google**: มีโครงการ User Choice Billing ที่ให้นักพัฒนาเสนอระบบชำระเงินเองได้ และเมื่อลูกค้าใช้ระบบภายนอก Google จะลดค่าคอมมิชชั่นลงเหลือ 11% สำหรับรายได้ที่ผ่านช่องทางดังกล่าว
**ทัศนคติของนักพัฒนา:**
ในชุมชนนักพัฒนา หลายคนเลือกพัฒนาแอปบน Android ก่อน หรือเน้นตลาด Android เป็นหลัก เนื่องจากมีความยืดหยุ่นมากกว่า และต้นทุนการเข้าสู่ตลาดต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การมีผู้ใช้ iOS ที่มีกำลังซื้อสูงก็ทำให้ App Store ยังคงน่าสนใจ
มองไปข้างหน้า: การเปลี่ยนแปลงนโยบาย “ภาษี Apple” ที่อาจเกิดขึ้นและแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล
อนาคตของ App Store และนโยบาย “ภาษี Apple” ดูเหมือนกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ด้วยแรงกดดันทางกฎหมายและสังคมจากทั่วโลก การผูกขาดของ Apple อาจไม่สามารถคงอยู่ได้เหมือนอดีต
**แนวโน้มที่น่าจับตา:**
– **การเปิดระบบชำระเงินภายนอกอย่างกว้างขวาง**: จาก DMA ของสหภาพยุโรป Apple จำเป็นต้องยอมรับระบบชำระเงินและ App Store ของบุคคลที่สาม หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงถึง 10% ของรายได้ประจำปี
– **การลดอัตราค่าคอมมิชชั่นโดยอัตโนมัติ**: Apple อาจต้องลดอัตราค่าธรรมเนียมลงอย่างถาวร หรือขยายโครงการลดหย่อนไปยังนักพัฒนาทุกกลุ่ม เพื่อรักษาภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ
– **การแข่งขันในแอปสโตร์**: เมื่ออนุญาตให้มีแอปสโตร์ทางเลือก การแข่งขันจะเกิดขึ้นในด้านค่าธรรมเนียม ความปลอดภัย และฟีเจอร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักพัฒนาและผู้บริโภค
**ผลกระทบต่อประเทศไทย:**
หากประเทศไทยมีนโยบายการแข่งขันที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต นักพัฒนาไทยจะได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนการเข้าถึงตลาด แอปท้องถิ่นสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลก็จะเติบโตยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน นักพัฒนาก็ต้องเรียนรู้การบริหารระบบชำระเงิน ความปลอดภัยไซเบอร์ และการดูแลลูกค้าด้วยตนเองมากขึ้น
ในระยะยาว “ภาษี Apple” อาจกลายเป็นโมเดลที่ถูกปรับให้ยืดหยุ่นและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความเมตตาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่เพราะแรงผลักจากกฎหมาย การแข่งขัน และความต้องการของตลาดที่ต้องการระบบนิเวศที่เป็นธรรม
1. ภาษี Apple หลักๆ แล้วส่งผลกระทบต่อแอปพลิเคชันและบริการประเภทใดบ้าง?
ภาษี Apple หลักๆ แล้วส่งผลกระทบต่อแอปพลิเคชันและบริการที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการดิจิทัลภายในแอป (In-App Purchase) และการสมัครสมาชิก (Subscriptions) เช่น เกมดิจิทัล เนื้อหาพรีเมียมในแอป สมาชิกพรีเมียม บริการสตรีมมิ่ง หรือฟีเจอร์พิเศษต่างๆ โดยไม่รวมถึงการซื้อขายสินค้าหรือบริการทางกายภาพ เช่น บริการเรียกรถ หรือการสั่งอาหาร.
2. “ภาษี Apple” กับ “ภาษี Android” (ค่าธรรมเนียมของ Google Play) มีความแตกต่างที่สำคัญอย่างไร?
ความแตกต่างที่สำคัญคือโครงสร้างอัตราค่าคอมมิชชั่นและความเปิดกว้างของแพลตฟอร์ม Apple โดยทั่วไปเก็บ 30% (หรือ 15% สำหรับนักพัฒนารายได้น้อยกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี) และมีระบบนิเวศที่ปิดกว่า ในขณะที่ Google Play เก็บ 15% สำหรับรายได้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐแรกต่อปี และ 30% สำหรับรายได้ที่เกินกว่านั้น พร้อมแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างกว่าและมีทางเลือกการชำระเงินภายนอกได้ง่ายกว่า.
3. ในฐานะนักพัฒนา มีวิธีใดบ้างที่ช่วยลดภาระ “ภาษี Apple” ได้?
- เข้าร่วมโครงการ App Store Small Business Program เพื่อรับอัตราค่าคอมมิชชั่น 15% หากมีคุณสมบัติครบถ้วน
- พิจารณาเสนอช่องทางการสมัครสมาชิกที่ต่ออายุอัตโนมัติ ซึ่งอาจได้รับอัตรา 15% หลังจากปีแรก
- หากทำได้ ให้เสนอทางเลือกการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ภายนอกแอป (External Link) โดยเฉพาะในภูมิภาคที่กฎหมายอนุญาต
- สร้างโมเดลธุรกิจที่เน้นสินค้า/บริการทางกายภาพ หรือโฆษณาภายในแอป ซึ่งโดยทั่วไปไม่ถูกเก็บค่าคอมมิชชั่น
4. “ภาษี Apple” จะส่งผลต่อแนวโน้มการพัฒนา App Store ในอนาคตอย่างไร?
แนวโน้มบ่งชี้ว่า Apple อาจถูกบังคับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการอนุญาตระบบการชำระเงินทางเลือกและการมี App Store ของบุคคลที่สามในบางภูมิภาค กฎหมายต่อต้านการผูกขาดทั่วโลกกำลังกดดันให้ Apple ปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างรายได้ของแพลตฟอร์ม.
5. ถ้าฉันพัฒนาแอปหรือลงโฆษณาในประเทศไทย นโยบายภาษี Apple มีข้อพิจารณาพิเศษหรือไม่?
ในปัจจุบัน นโยบาย “ภาษี Apple” หลักๆ (15-30% สำหรับ IAP) มีผลบังคับใช้ในประเทศไทยเช่นเดียวกับทั่วโลก รวมถึงค่าธรรมเนียม 30% สำหรับการซื้อโฆษณา Facebook/Instagram ผ่านแอป iOS. หากในอนาคตประเทศไทยมีกฎหมายต่อต้านการผูกขาดที่คล้ายคลึงกับ EU หรือเกาหลีใต้ อาจมีการเปิดโอกาสให้มีทางเลือกการชำระเงินมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อต้นทุนของนักพัฒนาและผู้ลงโฆษณาไทย.
6. บริษัท Apple มีจุดยืนอย่างเป็นทางการต่อนโยบาย “ภาษี Apple” อย่างไร?
Apple ยืนยันว่าค่าธรรมเนียม App Store มีความจำเป็นและเป็นธรรม เพื่อครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน การบำรุงรักษาแพลตฟอร์ม การรักษาความปลอดภัย การตลาด และการลงทุนในการพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนา พวกเขามองว่าค่าธรรมเนียมนี้ช่วยสร้างระบบนิเวศที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และสร้างผลกำไรให้กับนักพัฒนาจำนวนมากทั่วโลก.
7. นอกจาก Epic Games แล้ว ยังมีบริษัทใดอีกบ้างที่เคยท้าทายภาษี Apple อย่างมีชื่อเสียง?
บริษัทที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ที่เคยท้าทายภาษี Apple ได้แก่ Spotify ซึ่งร้องเรียนเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาดเพลงสตรีมมิ่ง, Meta (Facebook/Instagram) ที่วิจารณ์ค่าธรรมเนียม 30% สำหรับการซื้อโฆษณาในแอป, และบริษัทพัฒนาเกมอื่นๆ เช่น Tencent และ Mihoyo ที่เผชิญกับผลกระทบจากค่าธรรมเนียมนี้เช่นกัน.
8. ผู้บริโภคจะทราบได้อย่างไรว่าราคาการซื้อภายในแอปของ App หนึ่งๆ มีการผลักภาระ “ภาษี Apple” มารวมอยู่ด้วย?
โดยปกติแล้ว ผู้บริโภคไม่สามารถเห็นการแยกแสดง “ภาษี Apple” โดยตรงได้ เนื่องจากนักพัฒนาจะรวมค่าธรรมเนียมนี้เข้าไปในราคาขายสินค้าหรือบริการดิจิทัลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากแอปมีทางเลือกการชำระเงินภายนอกที่เสนอราคาถูกกว่าเล็กน้อย ก็อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าราคาในแอปได้รวมค่าธรรมเนียมของ Apple ไว้ด้วย.
9. ในอนาคตจะมีกฎระเบียบใหม่ๆ ที่บังคับให้ Apple ลดสัดส่วนการหักค่าคอมมิชชั่นจาก App Store หรือไม่?
มีความเป็นไปได้สูงมาก โดยเฉพาะจากกฎหมายต่อต้านการผูกขาดที่กำลังบังคับใช้ในหลายภูมิภาค เช่น Digital Markets Act (DMA) ในสหภาพยุโรป และกฎหมายที่คล้ายคลึงกันในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการแข่งขันและลดอำนาจของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าธรรมเนียมของ Apple ในอนาคต.
10. สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก “ภาษี Apple” มีผลกระทบเฉพาะเจาะจงต่อกลยุทธ์การโฆษณาดิจิทัลอย่างไร?
สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ภาษี Apple มีผลกระทบสำคัญต่อการโฆษณาดิจิทัลโดยตรงจากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30% สำหรับการซื้อโฆษณา Facebook/Instagram ผ่านแอป iOS การเพิ่มขึ้นของต้นทุนนี้หมายความว่าธุรกิจขนาดเล็กจะต้องใช้งบประมาณโฆษณามากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเท่าเดิม หากไม่หลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมนี้ ทำให้จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์โดยหันไปใช้แพลตฟอร์มบนเว็บหรือ Meta Business Suite ในการจัดการโฆษณาเพื่อรักษาประสิทธิภาพของงบประมาณ.
แหล่งอ้างอิง:
- Understanding App Store Fees – DEV Community
- Google Play and App Store Fees: List of Costs That App Owners Pay in 2025 – App Radar
- Epic Games v. Apple – Wikipedia
- South Korea passes law that will mandate alternative iOS App Store payments | iMore
- Apple To Allow iOS Apps In South Korea To Use Third-Party Payment Processors – Vixio
- Apple Forces 30% Service Fees on Meta Advertising – How to Avoid Paying More for Ads